จริงหรือไม่ แบตเตอรี่แบบไหนก็เหมือนกัน

บทความ

จริงอยู่ ที่แบตเตอรี่รถยนต์ในรถทุกคัน มีบทบาทหน้าที่สำคัญต่อการใช้งานรถยนต์ ในเรื่องของการสตาร์ท และจ่ายไฟให้กับรถยนต์ เหมือนๆ กัน แต่แบตเตอรี่แต่ล่ะลูกนั้น ก็มีความแตกต่างกัน เป็นเรื่องที่ผู้ใช้รถยนต์หลายๆ คนอาจไม่ทราบ เช่น ต่างกันที่ประเภท (Battery type) ต่างกันที่ขนาด (Dimension) ต่างกันที่ลักษณะเฉพาะและคุณสมบัติ (Specifications) เราลองมาดูรายละเอียดกันว่า


ความแตกต่างที่ว่านั้นเป็นอย่างไร

ความแตกต่างของ “ประเภทของแบตเตอรี่” แบ่งออกเป็น
1. แบตเตอรี่ แบบเติมน้ำกลั่น (Conventional) หรือเรียกสั้นๆ ว่าแบตเตอรี่น้ำ
จัดเป็นแบตเตอรี่ที่ใช้เทคโนโลยีเก่าแก่ดั้งเดิมที่สุด ก่อนถูกนำมาใช้งาน ต้องทำการเติมน้ำกรดและทำการชาร์จไฟเข้า เพื่อให้พร้อมใช้งาน แบตเตอรี่ ประเภทนี้มีข้อดี คือ ราคาย่อมเยาสุด มีความทนทาน แต่ก็ต้องแลกมาด้วย ต้องการความใส่ใจในการดูแลสูง ต้องคอยหมั่นตรวจเช็คอยู่สม่ำเสมอบ่อยครั้งที่สุด (ทุกๆ 1-2 สัปดาห์) ไม่ควรปล่อยให้น้ำกลั่นในแบตเตอรี่ระเหยจนแห้งเหือดหายไป เพราะแบตเตอรี่อาจเกิดความเสียหายได้ทันที


2. แบตเตอรี่ แบบไฮบริด (Hybrid) มีลักษณะเหมือนแบตเตอรี่ น้ำทุกประการ
แต่ได้รับการพัฒนาขึ้น โดยใช้วัตถุดิบเป็นโลหะผสมระหว่างตะกั่วกับแคลเซียมเฉพาะแผ่นธาตุลบ เพื่อแก้ไขข้อเสียของแบตเตอรี่เติมน้ำ ที่มีการระเหยของน้ำกลั่นสูง ไม่ต้องดูแลบ่อยมาก ระยะเวลาประมาณ 3 เดือน จึงค่อยเติมน้ำกลั่น อายุการใช้งานทนทานกว่าแบตเตอรี่เติมน้ำแบบธรรมดา แต่ก็มีราคาสูงกว่าด้วยเช่นกัน แบตเตอรี่ไฮบริดเหมาะกับรถที่ใช้งานหนักมากๆ เช่น รถบรรทุก รถรับจ้างโดยสาร


3. แบตเตอรี่ แบบกึ่งแห้ง (Maintenance Free) เรียกสั้นๆ ได้ว่า แบตเตอรี่ MF
จะมีแตกต่างจากแบตเตอรี่เติมน้ำและไฮบริด คือ มีการเติมน้ำกรดมาให้จากโรงงานผู้ผลิตเลย ฝาที่ใช้เปิดเพื่อเซอร์วิสเติมน้ำกลั่นนั้นเป็นฝาแบบเรียบ ด้วยเหตุผลเพื่อประสิทธิภาพการใช้งาน
มีกลไกป้องกันและลดการระเหยของน้ำกลั่นได้ดียิ่งขึ้น ไม่ต้องดูแลรักษาหรือตรวจเช็คบ่อยๆ ประมาณทุกๆ 6 เดือน ก็เพียงพอ มักมีระบบให้ตรวจเช็คสภาพแบตเตอรี่ได้ง่ายๆ ผ่าน Indicator หรือตาแมวนั่นเอง


4. แบตเตอรี่ แบบแห้ง (Sealed Maintenance Free) หรือเรียกว่า SMF คือ
แบตเตอรี่ที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุดของแบตฯ รถยนต์ มีโครงสร้างที่ปิดสนิท 100% ไม่มีฝาจุก หรือฝาเรียบเพื่อเปิดเซอร์วิสเติมน้ำกลั่น แบตเตอรี่ SMF จะบรรจุน้ำกรดมาให้จากโรงงานผู้ผลิต แบตเตอรี่ประเภทนี้จะให้ความสำคัญในการรักษาระดับน้ำไม่ให้ระเหยออก เพื่อคงประสิทธิภาพการใช้งานให้ยาวนานสูงสุด โดยที่ไม่ต้องดูแลรักษาตลอดอายุการใช้งาน มีความสะดวกสบายสูงสุดต่อผู้ใช้รถ แต่ก็ยังมีระบบตรวจเช็คสภาพแบตเตอรี่ผ่าน Indicator หรือตาแมวได้เช่นเดียวกับ แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง

ความแตกต่างของ “ขนาดของแบตเตอรี่” อาจเปรียบเทียบได้โดย ขนาดความ กว้าง x ยาว x สูง ของโครงสร้างภายนอกของลูกแบตเตอรี่ โดยมาตรฐานทั่วไปสำหรับรถญี่ปุ่น ก็แบ่งขนาดออกเป็น B19, B24, D23, D26, D31 (ขนาดเล็ก-ใหญ่) ส่วนมาตรฐานแบตเตอรี่สำหรับรถยุโรป ก็แบ่งขนาดออกเป็น L0, L1, LB1, L2, LB2, L3, LB3, L4, LB4, L5, L6 (ขนาดเล็ก-ใหญ่) เป็นต้น แต่ในปัจจุบันนี้ รถรุ่นใหม่ๆ ค่ายเอเชียหลายๆ ค่าย
ก็หันมานิยมติดตั้งแบตเตอรี่แบบเดียวกับแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยุโรปเป็นมาตรฐานจ ากโรงงานผลิตรถยนต์กันแล้ว ด้วยประสิทธิภาพการใช้งานที่ดีกว่า การเลือกขนาดแบตเตอรี่ให้เหมาะสมกับรถยนต์ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ
มีความปลอดภัยสูงสุดในการใช้งาน

ความแตกต่างของ “ลักษณะเฉพาะและคุณสมบัติ” หากเป็นลักษณะเฉพาะ เราอาจดูได้จากภายนอกได้เลย เช่น เป็นแบตเตอรี่แบบ “ขั้วลอย” หรือ JIS Type และแบตเตอรี่แบบ “ขั้วจม” หรือ DIN Type ซึ่งความแตกต่างนี้มีความสำคัญมาก เพราะทั้งสองไม่สามารถใช้ทดแทนกันได้ หากรถยนต์ติดตั้งแบตเตอรี่ที่มีขั้วประเภทใดมาเป็นอะไหล่มาตรฐาน ถึงเวลาต้องเปลี่ยนลูกใหม่ ก็ต้องเลือกใช้แบตเตอรี่ขั้วแบบเดิมเท่านั้น เพราะหากเปลี่ยนแบตเตอรี่ข้ามประเภท อาจก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงได้ ส่วนเรื่องของคุณสมบัติแบตเตอรี่ที่มีความแตกต่างกันนั้น เรื่องที่ต้องคำนึงถึงคือ

ประสิทธิภาพการใช้งานที่เหมาะสมกับรถแต่ละคัน โดยควรพิจารณาจาก รุ่นรถ ปีรถ หรืออุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่มีในรถยนต์ เช่น รถยนต์รุ่นปีเก่า อาจไม่จำเป็นที่ต้องใช้แบตเตอรี่สเปกสูง เท่ากับรถยนต์รุ่นปีใหม่ๆ ที่อาจจำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่สเปกสูงที่มีเทคโนโลยีใหม่มารองรับ เช่น แบตเตอรี่ประเภท EFB (Enhanced Flooded Battery) หรือ AGM (Absorbent Glass Mat) ที่มีความเหมาะสมกว่า

แชร์